ปัจจุบัน…
-Arioka’s part-
ตั้งแต่ทั้งสองคนนั้นแยกย้ายกลับกันไป
ผมก็หันกลับมาง่วนอยู่กับซากอารยะธรรมที่พวกเราได้สร้างกันไว้เมื่อคืน
มือก็จัดการเก็บกวาด แต่ใจมันกลับอยู่ไม่สุขเลยสักนิด
ทำไมต้องคิดถึงเรื่องบ้าๆแบบนั้นอีกแล้ว ก็เขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ทำไมต้องกลับมาตอกย้ำสิ่งที่ผมพยายามจะหนีมาตลอด
ไม่ว่าจะอ้างยังไงทั้งผมและเขาก็รู้อยู่แก่ใจแท้ๆ
ผมไม่ได้ออกมาเพราะเหตุผลเรื่องการเรียน แต่มันเพราะเรื่องของเราต่างหาก…
แค่แผลเล็กๆเพียงจุดเดียวมันได้ลุกลามจนมันถึงจุดแตกหัก
เราไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่มีคำพูดใดๆว่าทำไมเราต้องเป็นแบบนี้
เพราะมันไม่คำอธิบายเรื่องระหว่างเราแต่แรกว่าเราเป็นอะไรกัน ผมโกรธเขาไม่ได้
ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเกลียด ผมไม่สามารถแสดงอารมณ์อะไรได้เลย มันทำให้ผมเกลียด!
เกลียดตัวเอง
เกลียดที่ไม่มีสิทธิ์ หรือเกลียดที่ดันไปคิดอะไรทุเรศๆกับเขาทั้งที่มันไม่ควรเลย
Line~
-InooSama-
ถึงแล้วนะคร้าบบบ
9:30
9:30
อืม
^^
การคุยผ่านแอพพลิเคชั่นที่ใช้เพียงตัวอักษรมันก็ดีแบบนี้แหละ
ไม่ต้องพยายามปั้นหน้าอะไร ใบหน้าผมในตอนนี้คงมีแต่เครื่องหมายคำถามแปะเต็มหน้าไปหมด
Line~
-InooSama-
วิดีโอคอลได้ไหมครับ!?
9:31
9:31
ตอนนี้ยุ่งอยู่น่ะ
โทษทีนะฮะ
อืม
ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษที่รบกวนนะ
เดี๋ยวจะทักมาใหม่ล่ะกันนะครับ 9:32
ทำไมต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้นะ
ในเมื่อนายเป็นคนจบมันเองแท้ๆ
-2 ปีก่อน-
-Inoo’s part-
หลังจากมื้อเย็นที่น่าอึดอัดได้จบลง
ผมจึงขอตัวกลับก่อนแม้ว่าเวลานี้จะดึกมากแล้วก็ตามโดยให้เหตุผลว่าขับตอนดึกๆอากาศมันเย็นดี
ยางรถไม่ได้เปลี่ยนมานานแล้ว กลัวเจอแดดแรงๆแล้วจะระเบิดเอาได้
คุณแม่จึงยอมให้ออกมาแต่โดยดี
ไดกิรีบขึ้นไปเก็บของแล้วกอดลาผู้เป็นแม่อย่างอาวรณ์
ใบหน้าของเขาในตอนนั้นได้หายไปหมดแล้วเมื่ออยู่ตรงหน้าของผู้เป็นแม่
มีเพียงใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยวัย 15 ขวบ ที่ต้องออกห่างอ้อมอกของผู้เป็นแม่เท่านั้น
ผมบอกลาและเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเก็บสัมภาระ ของฝากที่คุณแม่อุตส่าห์แอบไปซื้อมาเมื่อเช้า
หลังจากเด็กชายตัวน้อยได้ร่ำลาผู้เป็นแม่เสร็จแล้วก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนเบาะรถข้างคนขับซึ่งกลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว
พวกเราเลื่อนกระจกและร่ำลาท่านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่รถจะแล่นผ่านบริเวณเขตบ้านไป
ผมขับออกมาเรื่อยจนจะเข้าแถบตัวเมืองโตเกียวแล้ว
โดยตลอดทางมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุเท่านั้นที่ทำลายความเงียบและความน่าอึดอัดในรถคันนี้
กระทั่งเลี้ยวรถเข้ามาถึงบ้านแล้วก็ตาม
ผมดับเครื่องยนต์ลงทำให้รถคนนั้นนี้เหลือเพียงความเงียบเข้ามาปกคลุม
“นายมีอะไรที่อยากให้ฉันรู้ไหม”
ผมตั้งคำถามเพื่อทำลายความเงียบ แต่กลับทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดกว่าเดิมเสียอีก
ไดกิได้แต่กัดริมฝีปากจนฮ้อเลือด “ฉันไม่ได้บังคับหรอกนะ
เผื่อถ้านายระบายออกมาแล้ว…อาจจะสบายใจขึ้นบ้าง”
ยังคงมีแต่เพียงความเงียบระหว่างเรา แต่คนข้างๆดูผ่อนคลายกว่าเดิมเล็กน้อย
ผมจึงเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมของคนข้างๆส่งผ่านความรู้สึกที่อยากจะปลอบประโลมร่างคนตัวน้อยๆนี้เหลือเกิน
“ขอโทษ”
ไดกิเปล่งเสียงเบาๆ พร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
ผมเลือกที่จะดึงร่างของคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้ “อึ้ก อึก อย่าเกลียดผมนะ ฮึก ฮึก ผม…ผม อยู่ข้างๆผมนะ”
ผมลูบหัวเขาแทนคำตอบ
ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเคยผ่านอะไรมา
ฉันขอทำเป็นไม่รับรู้อะไร ขอแค่อยู่กับนายแบบนี้ไปนานๆแค่นั้นก็คงพอแล้วล่ะ นายอยากให้ฉันเป็นอะไรฉันก็จะเป็นให้…
…1 ปีต่อมา…
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ไม่ได้กลับไปถามถึงมันอีก
ไดกิก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
ระหว่างเราก็กลับมาเป็นพี่น้องร่วมบ้านกันเหมือนเดิม
ไดกิมีเพื่อนผู้หญิงมากมายที่โรงเรียน
แต่กลับป๊อบในหมู่ผู้ชาย เพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายเด็กผู้หญิงของเขานั้นแหละ
ยิ่งชอบเดินกับเด็กผู้หญิงกลุ่มใหญ่อีกจึงถูกมองว่าเป็นก็ไม่แปลก แต่ตลอด 1
ปีที่ผ่านมาไดกิก็ไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนหรือพาผู้ชายเข้าบ้านให้ผมต้องกังวลใจแต่อย่างใด
ส่วนผมก็มีบ้างเรื่องผู้หญิงทั่วไปแต่ก็ไม่เคยพาใครมารบกวนไดกิที่บ้านอยู่แล้ว
เราก็ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง
มีแค่ถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบกันทั่วไปบ้างในเวลาทานข้าวเย็น
“นี่! อิโนะจัง
ผมมีเพื่อนผู้ชายแล้วนะ เขาเป็นเด็กใหม่เพิ่งย้ายมา แล้วเขาก็อยู่ข้างบ้านเรานี้เองล่ะ
ชื่อฮิคารุ ผมชวนเขามากินข้าวที่บ้านได้ไหมฮะ”
“อื้อ ได้สิ
แล้วเพื่อนไดจังเป็นคนยังไงหรอ ถึงถูกย้ายมากลางเทอมแบบนี้น่ะ
ไม่ใช่พวกเด็กมีปัญหาใช่ไหม”
“เหมือนว่า…จะเป็นพวกนั้นแหละ
แต่จริงๆแล้วเขาไม่มีอะไรเลยนะ ถ้าคุยด้วยแล้วออกจะเป็นคนใจดีเลยล่ะ”
“ใจดีแบบนี้ไดจังคงชอบสินะ”
“ฮะ ชอบฮะ
ไดจังชอบคนใจดี”
“อือ ดีแล้ว”
…เวลาเลิกเรียน…
“นะๆ
เข้าไปเหอะนะ มีแค่พี่ฉันอยู่คนเดียวเอง” ผมได้ยินเสียงโวยวายจากหน้าบ้าน จึงได้เดินไปเปิดประตูเพราะพอจะรู้ว่าพี่ชายในที่นี้ก็คือผมเอง
และคนที่โวยวายเสียลั่นก็ไดกินั้นแหละ
“เอ๊ะ! นายนี่
จะมายุ่งอะไรกับฉันหนักหนาว่ะ”
คนที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ของไดกิพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม
“อ๊ะ! อิโนะจัง
นี้ไงเพื่อนคนที่บอก” คนที่ทำท่าโวยวายเมื่อครู่หยุดนิ่งแล้วโค้งตัวเป็นการทักทาย
อืม! ถึงจะดูร้ายๆแต่ก็คงไม่ใช่คนเลวอย่างที่ไดกิว่าจริงๆนั้นแหละ
“เข้ามาในบ้านก่อนไหม
ได้เวลาทานข้าวพอดีเลย” ผมเชิญชวนให้เพื่อนใหม่ของไดกิเข้ามาในบ้าน
“ไม่เป็นระ…”
ก่อนที่ตัวจะพูดจบก็ถูกไดกิฉุดกระชากลากถูเข้ามาในบ้านเสียแล้ว
“ฮิคารุนั่งนี้นะ
อิโนะจังก็มานั่งสิ เดี๋ยวไดกิตักข้าวให้เองนะ” ผมเดินเข้าไปนั่งที่ประจำ
“ฮิคารุคุง
ฉันเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
“ครับ”
“ไดจังดูจะวุ่นวายกับนายมากสินะ”
ไดกิหันมาทำหน้าค้อนใส่ผม
“ก็…นิดหน่อยครับ” คราวนี้ไดกิก็หันค้อนขวับที่ฮิคารุแทน
“ไดกิไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายหรอกนะ”
“คงจะมีแต่แฟนผู้ชายสินะ
หึ” ฮิคารุหันไปทำหน้าล้อเลียนใส่คนที่ค้อนขวับเมื่อครู่
“ไม่มีโว้ย!! ว่าแต่เขา
ใครกันแน่ที่มาวันแรกก็มีผู้ชายมาจีบเลยน่ะ ฉันยังไม่ฮอตขนาดนั้นเลยน้า
สงสัยจะโดนแย่งชิงตำแหน่งสะแล้วสิ อดใจมอบมงต่อให้ฮิคกี้ไม่ได้สะแล้วสิ คิคิ”
คนโดนล้อหน้าแดงแปร๊ด
“เดี๋ยวเหอะ!!
ถ้าไม่เกรงใจพี่นายนะ
จิ๊”
“นี้พวกนายเกรงใจฉันจริงๆหรอเนี่ย
ฮ่าฮ่า” ผมพูดขัดเพื่อนที่ดูเหมือนจะเข้ากัน(??)
“หึหึ
กินไปเลย ถือเป็นอาหารมื้อร่วมสาบานว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป!!”
“นี้นายไม่มีคนคบถึงขนาดต้องทำขนาดนี้เลยหรือไง
- -” ไดกิทุบลงเต็มๆหลังคนตัวผอมดัง อั๊ก! “เจ็บนะโว้ย!”
ไดกิหันมายิ้มให้เพื่อนคนใหม่
ถึงจะปากร้ายใส่กันแต่ก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้เกลียดกันหรอกนะ
หลังจากวันนั้นก็รู้สึกว่าฮิคารุจะเปิดใจรับไดกิมากขึ้น บางทีวันหยุดฮิคารุก็มาหมกตัวอยู่ที่บ้านทั้งวัน
ทำให้ผมสนิทกับฮิคารุด้วยไปปริยาย ที่โรงเรียนก็เหมือนจะไม่มีใครกล้ามาจีบทั้งไดกิและฮิคารุแล้วเพราะคิดว่าคนสวยสองคนเป็นแฟนกันไปเสียแล้วน่ะสิ
แต่ทั้งสองก็ไม่คิดจะแก้ต่างเพราะก็บอกว่าสบายใจดี ไม่ต้องมีใครมาวอแวให้วุ่นวาย
-Arioka’s
part-
มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากจำ
แต่มันก็ไม่เคยหายไปจากความหัวผมเลย ผมพยายามจะร่าเริงให้ได้มากที่สุด
ไม่อยากให้อิโนะจังคิดว่าผมยังจมปลักอยู่กับมัน
และไม่อยากให้รู้ว่าผมยังจดจำการกระทำระหว่างผมและเขาในวันนั้น มันเป็นเรื่องผิดพลาดของผมเองที่คิดว่าเขาก็คิดอะไรเหมือนๆผม
แต่ก็ขอบคุณที่เขาช่วยหยุดมันเสียตั้งแต่ตอนนั้น ขอบคุณที่ไม่หลุมหลงไปกับการกระทำชั่ววูบของผม…
ส่วนเรื่องของผมกับจิเน็นและแฟนของเขา
‘ทาคาคิ’ มันเป็นอดีตที่เจ็บปวด ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเริ่มต้นเล่ามันยังไงดี
เพียงแค่นึกถึงมันผมก็รู้สึกขยะแขยงตัวเองขึ้นมาทุกที
ก่อนหน้านั้นจิเน็นเป็นเด็กดีและเป็นที่รักของทุกคนในบ้านรวมถึงผมด้วย
เขาถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน ต่างจากผมที่มีอิสระกับชีวิตอย่างเต็มที่เพราะไม่ได้เป็นความหวังของบ้านอยู่แล้ว
เนื่องจากผลการเรียนปานกลาง กีฬาก็เล่นไม่เป็น ไม่มีความสามารถอะไรที่โดดเด่น
ส่วนจิเน็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกันเพียง 1 ปี
แต่กลับมีพรสวรรค์มากมาย ทั้งเรื่องกีฬา แถมผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดี ติดท็อปเทนของสายชั้นอยู่เสมอ
จึงไม่แปลกที่ทุกคนในบ้านจะยิ่งประคมประหงมเขาเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ว่าเด็กประวัติดีขนาดนี้ทำไมถึงดันไปถูกเสปคกับลูกชายยากูซ่าเสียได้
‘ทาคาคิ’ เป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายโรงเรียนชายล้วนข้างๆ
เขาเป็นเด็กที่ประวัติไม่ค่อยดีนัก แต่ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาจึงเป็นที่รู้จักกันในหมู่โรงเรียนสหะที่มีประชากรผู้หญิงมากกว่าครึ่งอย่างโรงเรียนของผม
ทาคาคิได้เดินหน้าจีบจิเน็นเด็กน้อยที่ยังไม่ประสีประสากับเรื่องพวกนี้
ก็ไม่แปลกนักที่จะเห็นว่ามันคือความรักที่บริสุทธิ์และหวั่นไหวกับสิ่งที่เขาเปรอปรนมาให้อย่างง่ายดาย
ไม่นานนักข่าวเรื่องที่ทาคาคิกับจิเน็นเป็นแฟนกันก็แพร่สะพัดไปถึงหูน้าสาวของผม
เธอเรียกผมไปคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหลังจากที่ไม่เคยคุยกันเลยมานาน
เธอพยายามยัดเยียดความผิดมาลงที่ผมที่ไม่เคยยอมเอ่ยปากบอกเรื่องพวกนี้แก่เธอเลย ผมอยู่ในสภาพที่น้ำท่วมปากไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก
เพราะผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดกับการจะรักใครสักคนถึงแม้เขาคนนั้นจะเป็นทาคาคิลูกชายยากูซ่าที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ก็ตาม
แต่นั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เขาคนนั้นได้พรากจิเน็นเด็กน้อยที่สดใสและแสนบริสุทธิ์ไปแล้ว
กลางดึกคืนหนึ่งในหน้าหนาว
วันนี้เป็นวันทีป๊ากับม้าไม่อยู่บ้าน ผมจึงต้องนอนคนเดียวอีกครั้งในรอบหลายเดือน
ซึ่งปกติผมจะชวนจิเน็นมานอนเป็นเพื่อน แต่วันนี้เขากลับปฏิเสธคำชวนของผมอย่างจริงจัง
ตกดึกหลังจากผมปิดไฟเพื่อจะล้มตัวนอนก็ได้ยินเสียงดังมาจากชั้นล่างของบ้าน
ผมจึงเดินลงไปเพื่อหาต้นตอของเสียง สักพักสติที่มีของผมก็ดับวูบลง
‘ตื่นสิคนดี’
ผมรับรู้ถึงสัมผัสที่หยาบกร้านที่ปัดป่ายไปทั่วใบหน้าของผม
‘อือ’
ผมพยายามจะขัดขืนต่อสู้เมื่อพบว่าคนที่กำลังโถมร่างทาบทับผมคือใคร ‘นายทาคาคิ!! อย่าทำแบบนี้
ออกไป! จิเน็นจะเสียใจนะ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้อง ฮึก ฮึก’
‘ไม่เสียใจหรอก
ก็น้องสุดที่รักของนายนั้นแหละที่เป็นคนบอกว่าวันนี้นายอยู่บ้านคนเดียว ยูริไม่สามารถให้สิ่งที่ฉันต้องการได้
และนายก็เป็นตัวแทนที่จะมอบสิ่งนั้นแทนเขา ดีไหมล่ะ?
มันไม่ได้น่ากลัวใช่ไหม’ มือหยาบแกะกระดุมผมออกและลูบไล้ไปทั่วแผงอกอย่างหื่นกระหาย
ผมรู้สึกเหมือนร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน เสียงร้องห้ามปรามเหมือนไม่ได้กระทบเข้าไปในโสตประสาทของคนหยาบช้าเลย
‘แต่จริงๆฉันก็ชอบไดจังนะ
ฉันคิดอยู่ตั้งนานว่าฉันจะจีบใครดีระหว่างไดจังกับยูริ แต่คิดว่าเล่นของยากๆแบบคุณหนูยูริน่าจะดีกว่า
แต่ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้ เสียดายที่ยังไม่ได้… อืม
แต่โชคดีแหะได้ไดจังเป็นของแถมด้วย’ เสียงแหบพร่าพูดพรรณนาสิ่งที่น่ารังเกียจออกมาจนผมทนไม่ไหวแต่ร่างกายผมมันล้าเหลือเกิน
ไม่สามารถแม้กระทั่งจะตบปากเน่าๆของคนน่าขยะแขยงตรงหน้า
ลิ้นหยาบตวัดเกี่ยวหยอกล้อกับยอดอก
อีกมือก็พยายามจะลู่กางเกงนอนตัวบางของผมออก เรี่ยวแรงที่ยังเหลือพยายามยึดปราการสุดท้ายไว้ไม่ให้ลู่ไหล
มือที่พยายามจะดึงกางเกงออกได้ล่ะความพยายามและมาตะปบเข้าที่แกนกายผมเสียเต็มรัก
เขาพยายามจะเค้นคลึงจุดอ่อนไหวจนผมทนไม่ไหวจนต้องงอตัวรับกับความปวดหนึบที่เขาประเคนมาให้
เขายิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น
เขาพยายามตรึงแขนผมทั้งสองข้าง และกดริมฝีปากลงมาทาบทับ
‘ร้องให้ฉันช่วยสิ ฉันช่วยนายได้นะ’
‘ไม่มีทาง!!
ให้ตายฉันก็ไม่ลดตัวลงไปทำอะไรต่ำๆกับนายหรอก’
‘เก่งจังเลยนะ
จะอดทนไปได้นานแค่ไหนกันล่ะ หรือนายอยากช่วยตัวเองต่อหน้าฉัน… ก็ได้นะ
ฉันว่ามันก็น่าสนใจดี หึ’
‘อึดอัด’
ผมต่อสู้กับร่างกายที่มันจ้องจะพยศผมอยู่ตลอดเวลา
ร่างกายท่อนล่างที่ปวดหนึบจนมันทนแทบไม่ไหว
กริ๊ง กริ๊ง~
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นติดต่อกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
เขาลุกขึ้นไปถอดสายโทรศัพท์ออกด้วยสีหน้าขัดใจ และจู่ๆเหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้
จึงหยิบโทรศัพท์มือถือของเขามาโทร และปลายสายนั้นก็คือ
‘ยูริ
ตอนนี้ฉันอยู่กับพี่ชายนายนะ ตอนนี้เรากำลังสนุกกันเลย
ฉันพูดเผื่อนายจะอยากมาสนุกด้วยกัน พี่นายยังบอกเลยนะว่ามันไม่เจ็บเลย
แถมหน้าตายังมีความสุขสุดๆไปเลยล่ะ ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ
ฉันทำให้ยูริได้มากกว่าที่ฉันทำกับไดจังอีกนะ เราน่าจะได้มีความสุขด้วยกันนะ’
สติสุดท้ายที่ผมยังเหลืออยู่
ขอด่ามันทั้งคู่ผัวเมีย ‘เลว!’
เมื่อตื่นเช้ามาคนที่เข้ามาทักทายผมแต่เช้าก็คือจิเน็น
หน้าตาไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรเลยสักนิด มันยิ่งให้ผมยิ่งเกลียดพวกมันมากไปอีก
ผมหลบหน้าและด่ากราดทุกครั้งที่จิเน็นมาวุ่นวายกับผม
กับทาคาคิก็ไม่เคยเจอหน้ามันอีกเลย
ผมก้าวร้าวขึ้น
หงุดหงิดง่ายจนที่บ้านคิดว่าผมเป็นเด็กมีปัญหาไปแล้ว จนครั้งหนึ่งหม่าม้าผมถึงขนาดหลั่งน้ำตาออกมาเพราะคิดว่าผมเป็นแบบนี้เพราะเธอดูแลผมไม่ดี
ผมจึงพยายามลดไอ้อาการเกรี้ยวกราดลงเพื่อไม่ให้ผู้เป็นแม่รู้สึกผิดและต้องมารับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ
ผมพยายามทำตัวน่ารักกับหม่าม้า ร่าเริงให้มากขึ้น
จนบางทีผมคิดว่ามันแทบไม่ใช่ตัวตนของผม!
นี้เป็นเรื่องราวที่น่ารังเกียจใช่ไหมล่ะ
ภาพในวันนั้นมันยังฝังอยู่ในหัวไม่ยอมหลุดไปไหน
แม้จะพยายามใส่ความทรงจำใหม่ๆมากขึ้นเท่าไรก็ไม่สามารถทับถมสิ่งนี้ไปได้มิด
ผมเคยคิดอยากจะทำตัวเหลวแหลกไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
ผมจะได้คิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อถึงหน้าหม่าม้าขึ้นมาสิ่งเลวๆในหัวก็หายไปจนหมด
จนเมื่อผมเจอกับอิโนะจังผมคิดว่าเขาจะช่วยให้ผมลืมเรื่องร้ายๆเหล่านั้นขึ้นมาได้
ผมนึกเลยเถิดขนาดอยากให้เขาเข้ามาลบรอยแผลเป็นบ้าๆพวกนี้ออกไป และสร้างรอยใหม่ที่มีเพียงแค่เขาและผมที่รู้
แต่นั้นก็เป็นความคิดที่คอยแต่จะเข้าข้างตัวเอง เมื่อเขาไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยมากกว่าพี่น้อง
ผมจึงต้องแสร้งทำเป็นน้องชายที่ดีกับเขาต่อไปเพื่อให้เขาสบายใจและจะได้ไม่สร้างปัญหาให้เขาอีก
ผมไม่อยากเป็นตัวปัญหาของใครอีก!!