วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

5-Lair Love

ปัจจุบัน
-Arioka’s part-
                ตั้งแต่ทั้งสองคนนั้นแยกย้ายกลับกันไป ผมก็หันกลับมาง่วนอยู่กับซากอารยะธรรมที่พวกเราได้สร้างกันไว้เมื่อคืน มือก็จัดการเก็บกวาด แต่ใจมันกลับอยู่ไม่สุขเลยสักนิด ทำไมต้องคิดถึงเรื่องบ้าๆแบบนั้นอีกแล้ว ก็เขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมต้องกลับมาตอกย้ำสิ่งที่ผมพยายามจะหนีมาตลอด ไม่ว่าจะอ้างยังไงทั้งผมและเขาก็รู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ผมไม่ได้ออกมาเพราะเหตุผลเรื่องการเรียน แต่มันเพราะเรื่องของเราต่างหาก
                แค่แผลเล็กๆเพียงจุดเดียวมันได้ลุกลามจนมันถึงจุดแตกหัก เราไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่มีคำพูดใดๆว่าทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ เพราะมันไม่คำอธิบายเรื่องระหว่างเราแต่แรกว่าเราเป็นอะไรกัน ผมโกรธเขาไม่ได้ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเกลียด ผมไม่สามารถแสดงอารมณ์อะไรได้เลย มันทำให้ผมเกลียด! เกลียดตัวเอง เกลียดที่ไม่มีสิทธิ์ หรือเกลียดที่ดันไปคิดอะไรทุเรศๆกับเขาทั้งที่มันไม่ควรเลย
Line~
-InooSama-
                ถึงแล้วนะคร้าบบบ 9:30
                                                                                                                                                9:30 อืม ^^
               

การคุยผ่านแอพพลิเคชั่นที่ใช้เพียงตัวอักษรมันก็ดีแบบนี้แหละ ไม่ต้องพยายามปั้นหน้าอะไร ใบหน้าผมในตอนนี้คงมีแต่เครื่องหมายคำถามแปะเต็มหน้าไปหมด
Line~
-InooSama-
                วิดีโอคอลได้ไหมครับ!? 9:31
                                                                                                                                9:31 ตอนนี้ยุ่งอยู่น่ะ โทษทีนะฮะ
                อืม ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษที่รบกวนนะ
เดี๋ยวจะทักมาใหม่ล่ะกันนะครับ          9:32


ทำไมต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้นะ ในเมื่อนายเป็นคนจบมันเองแท้ๆ

-2 ปีก่อน-
-Inoo’s part-
                หลังจากมื้อเย็นที่น่าอึดอัดได้จบลง ผมจึงขอตัวกลับก่อนแม้ว่าเวลานี้จะดึกมากแล้วก็ตามโดยให้เหตุผลว่าขับตอนดึกๆอากาศมันเย็นดี ยางรถไม่ได้เปลี่ยนมานานแล้ว กลัวเจอแดดแรงๆแล้วจะระเบิดเอาได้ คุณแม่จึงยอมให้ออกมาแต่โดยดี
                ไดกิรีบขึ้นไปเก็บของแล้วกอดลาผู้เป็นแม่อย่างอาวรณ์ ใบหน้าของเขาในตอนนั้นได้หายไปหมดแล้วเมื่ออยู่ตรงหน้าของผู้เป็นแม่ มีเพียงใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยวัย 15 ขวบ ที่ต้องออกห่างอ้อมอกของผู้เป็นแม่เท่านั้น ผมบอกลาและเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเก็บสัมภาระ ของฝากที่คุณแม่อุตส่าห์แอบไปซื้อมาเมื่อเช้า หลังจากเด็กชายตัวน้อยได้ร่ำลาผู้เป็นแม่เสร็จแล้วก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนเบาะรถข้างคนขับซึ่งกลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว พวกเราเลื่อนกระจกและร่ำลาท่านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่รถจะแล่นผ่านบริเวณเขตบ้านไป
                ผมขับออกมาเรื่อยจนจะเข้าแถบตัวเมืองโตเกียวแล้ว โดยตลอดทางมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุเท่านั้นที่ทำลายความเงียบและความน่าอึดอัดในรถคันนี้ กระทั่งเลี้ยวรถเข้ามาถึงบ้านแล้วก็ตาม ผมดับเครื่องยนต์ลงทำให้รถคนนั้นนี้เหลือเพียงความเงียบเข้ามาปกคลุม
                “นายมีอะไรที่อยากให้ฉันรู้ไหม” ผมตั้งคำถามเพื่อทำลายความเงียบ แต่กลับทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดกว่าเดิมเสียอีก ไดกิได้แต่กัดริมฝีปากจนฮ้อเลือด “ฉันไม่ได้บังคับหรอกนะ เผื่อถ้านายระบายออกมาแล้วอาจจะสบายใจขึ้นบ้าง” ยังคงมีแต่เพียงความเงียบระหว่างเรา แต่คนข้างๆดูผ่อนคลายกว่าเดิมเล็กน้อย ผมจึงเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมของคนข้างๆส่งผ่านความรู้สึกที่อยากจะปลอบประโลมร่างคนตัวน้อยๆนี้เหลือเกิน
                “ขอโทษ” ไดกิเปล่งเสียงเบาๆ พร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ผมเลือกที่จะดึงร่างของคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้ “อึ้ก อึก อย่าเกลียดผมนะ ฮึก ฮึก ผมผม อยู่ข้างๆผมนะ” ผมลูบหัวเขาแทนคำตอบ
ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเคยผ่านอะไรมา ฉันขอทำเป็นไม่รับรู้อะไร ขอแค่อยู่กับนายแบบนี้ไปนานๆแค่นั้นก็คงพอแล้วล่ะ นายอยากให้ฉันเป็นอะไรฉันก็จะเป็นให้

…1 ปีต่อมา
                ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ไม่ได้กลับไปถามถึงมันอีก ไดกิก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ระหว่างเราก็กลับมาเป็นพี่น้องร่วมบ้านกันเหมือนเดิม
ไดกิมีเพื่อนผู้หญิงมากมายที่โรงเรียน แต่กลับป๊อบในหมู่ผู้ชาย เพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายเด็กผู้หญิงของเขานั้นแหละ ยิ่งชอบเดินกับเด็กผู้หญิงกลุ่มใหญ่อีกจึงถูกมองว่าเป็นก็ไม่แปลก แต่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาไดกิก็ไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนหรือพาผู้ชายเข้าบ้านให้ผมต้องกังวลใจแต่อย่างใด ส่วนผมก็มีบ้างเรื่องผู้หญิงทั่วไปแต่ก็ไม่เคยพาใครมารบกวนไดกิที่บ้านอยู่แล้ว เราก็ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง มีแค่ถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบกันทั่วไปบ้างในเวลาทานข้าวเย็น
                “นี่! อิโนะจัง ผมมีเพื่อนผู้ชายแล้วนะ เขาเป็นเด็กใหม่เพิ่งย้ายมา แล้วเขาก็อยู่ข้างบ้านเรานี้เองล่ะ ชื่อฮิคารุ ผมชวนเขามากินข้าวที่บ้านได้ไหมฮะ”
                “อื้อ ได้สิ แล้วเพื่อนไดจังเป็นคนยังไงหรอ ถึงถูกย้ายมากลางเทอมแบบนี้น่ะ ไม่ใช่พวกเด็กมีปัญหาใช่ไหม”
                “เหมือนว่าจะเป็นพวกนั้นแหละ แต่จริงๆแล้วเขาไม่มีอะไรเลยนะ ถ้าคุยด้วยแล้วออกจะเป็นคนใจดีเลยล่ะ”
                “ใจดีแบบนี้ไดจังคงชอบสินะ”
                “ฮะ ชอบฮะ ไดจังชอบคนใจดี”
                “อือ ดีแล้ว”
เวลาเลิกเรียน
                “นะๆ เข้าไปเหอะนะ มีแค่พี่ฉันอยู่คนเดียวเอง” ผมได้ยินเสียงโวยวายจากหน้าบ้าน จึงได้เดินไปเปิดประตูเพราะพอจะรู้ว่าพี่ชายในที่นี้ก็คือผมเอง และคนที่โวยวายเสียลั่นก็ไดกินั้นแหละ
                “เอ๊ะ! นายนี่ จะมายุ่งอะไรกับฉันหนักหนาว่ะ” คนที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ของไดกิพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม
                “อ๊ะ! อิโนะจัง นี้ไงเพื่อนคนที่บอก” คนที่ทำท่าโวยวายเมื่อครู่หยุดนิ่งแล้วโค้งตัวเป็นการทักทาย อืม! ถึงจะดูร้ายๆแต่ก็คงไม่ใช่คนเลวอย่างที่ไดกิว่าจริงๆนั้นแหละ
                “เข้ามาในบ้านก่อนไหม ได้เวลาทานข้าวพอดีเลย” ผมเชิญชวนให้เพื่อนใหม่ของไดกิเข้ามาในบ้าน
                “ไม่เป็นระ” ก่อนที่ตัวจะพูดจบก็ถูกไดกิฉุดกระชากลากถูเข้ามาในบ้านเสียแล้ว
                “ฮิคารุนั่งนี้นะ อิโนะจังก็มานั่งสิ เดี๋ยวไดกิตักข้าวให้เองนะ” ผมเดินเข้าไปนั่งที่ประจำ
                “ฮิคารุคุง ฉันเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
                “ครับ”
                “ไดจังดูจะวุ่นวายกับนายมากสินะ” ไดกิหันมาทำหน้าค้อนใส่ผม
                “ก็นิดหน่อยครับ” คราวนี้ไดกิก็หันค้อนขวับที่ฮิคารุแทน
                “ไดกิไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายหรอกนะ”
                “คงจะมีแต่แฟนผู้ชายสินะ หึ” ฮิคารุหันไปทำหน้าล้อเลียนใส่คนที่ค้อนขวับเมื่อครู่
                “ไม่มีโว้ย!! ว่าแต่เขา ใครกันแน่ที่มาวันแรกก็มีผู้ชายมาจีบเลยน่ะ ฉันยังไม่ฮอตขนาดนั้นเลยน้า สงสัยจะโดนแย่งชิงตำแหน่งสะแล้วสิ อดใจมอบมงต่อให้ฮิคกี้ไม่ได้สะแล้วสิ คิคิ” คนโดนล้อหน้าแดงแปร๊ด
                “เดี๋ยวเหอะ!! ถ้าไม่เกรงใจพี่นายนะ จิ๊”
                “นี้พวกนายเกรงใจฉันจริงๆหรอเนี่ย ฮ่าฮ่า” ผมพูดขัดเพื่อนที่ดูเหมือนจะเข้ากัน(??)
                “หึหึ กินไปเลย ถือเป็นอาหารมื้อร่วมสาบานว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป!!
                “นี้นายไม่มีคนคบถึงขนาดต้องทำขนาดนี้เลยหรือไง - -” ไดกิทุบลงเต็มๆหลังคนตัวผอมดัง อั๊ก! “เจ็บนะโว้ย!
ไดกิหันมายิ้มให้เพื่อนคนใหม่ ถึงจะปากร้ายใส่กันแต่ก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้เกลียดกันหรอกนะ
                หลังจากวันนั้นก็รู้สึกว่าฮิคารุจะเปิดใจรับไดกิมากขึ้น บางทีวันหยุดฮิคารุก็มาหมกตัวอยู่ที่บ้านทั้งวัน ทำให้ผมสนิทกับฮิคารุด้วยไปปริยาย ที่โรงเรียนก็เหมือนจะไม่มีใครกล้ามาจีบทั้งไดกิและฮิคารุแล้วเพราะคิดว่าคนสวยสองคนเป็นแฟนกันไปเสียแล้วน่ะสิ แต่ทั้งสองก็ไม่คิดจะแก้ต่างเพราะก็บอกว่าสบายใจดี ไม่ต้องมีใครมาวอแวให้วุ่นวาย


-Arioka’s part-
                มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากจำ แต่มันก็ไม่เคยหายไปจากความหัวผมเลย ผมพยายามจะร่าเริงให้ได้มากที่สุด ไม่อยากให้อิโนะจังคิดว่าผมยังจมปลักอยู่กับมัน และไม่อยากให้รู้ว่าผมยังจดจำการกระทำระหว่างผมและเขาในวันนั้น มันเป็นเรื่องผิดพลาดของผมเองที่คิดว่าเขาก็คิดอะไรเหมือนๆผม แต่ก็ขอบคุณที่เขาช่วยหยุดมันเสียตั้งแต่ตอนนั้น ขอบคุณที่ไม่หลุมหลงไปกับการกระทำชั่ววูบของผม
                ส่วนเรื่องของผมกับจิเน็นและแฟนของเขา ทาคาคิ มันเป็นอดีตที่เจ็บปวด ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเริ่มต้นเล่ามันยังไงดี เพียงแค่นึกถึงมันผมก็รู้สึกขยะแขยงตัวเองขึ้นมาทุกที
                ก่อนหน้านั้นจิเน็นเป็นเด็กดีและเป็นที่รักของทุกคนในบ้านรวมถึงผมด้วย เขาถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน ต่างจากผมที่มีอิสระกับชีวิตอย่างเต็มที่เพราะไม่ได้เป็นความหวังของบ้านอยู่แล้ว เนื่องจากผลการเรียนปานกลาง กีฬาก็เล่นไม่เป็น ไม่มีความสามารถอะไรที่โดดเด่น ส่วนจิเน็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกันเพียง 1 ปี แต่กลับมีพรสวรรค์มากมาย ทั้งเรื่องกีฬา แถมผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดี ติดท็อปเทนของสายชั้นอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่ทุกคนในบ้านจะยิ่งประคมประหงมเขาเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ว่าเด็กประวัติดีขนาดนี้ทำไมถึงดันไปถูกเสปคกับลูกชายยากูซ่าเสียได้ ทาคาคิ เป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายโรงเรียนชายล้วนข้างๆ เขาเป็นเด็กที่ประวัติไม่ค่อยดีนัก แต่ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาจึงเป็นที่รู้จักกันในหมู่โรงเรียนสหะที่มีประชากรผู้หญิงมากกว่าครึ่งอย่างโรงเรียนของผม
                ทาคาคิได้เดินหน้าจีบจิเน็นเด็กน้อยที่ยังไม่ประสีประสากับเรื่องพวกนี้ ก็ไม่แปลกนักที่จะเห็นว่ามันคือความรักที่บริสุทธิ์และหวั่นไหวกับสิ่งที่เขาเปรอปรนมาให้อย่างง่ายดาย ไม่นานนักข่าวเรื่องที่ทาคาคิกับจิเน็นเป็นแฟนกันก็แพร่สะพัดไปถึงหูน้าสาวของผม เธอเรียกผมไปคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหลังจากที่ไม่เคยคุยกันเลยมานาน เธอพยายามยัดเยียดความผิดมาลงที่ผมที่ไม่เคยยอมเอ่ยปากบอกเรื่องพวกนี้แก่เธอเลย ผมอยู่ในสภาพที่น้ำท่วมปากไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก เพราะผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดกับการจะรักใครสักคนถึงแม้เขาคนนั้นจะเป็นทาคาคิลูกชายยากูซ่าที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ก็ตาม แต่นั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เขาคนนั้นได้พรากจิเน็นเด็กน้อยที่สดใสและแสนบริสุทธิ์ไปแล้ว
                กลางดึกคืนหนึ่งในหน้าหนาว วันนี้เป็นวันทีป๊ากับม้าไม่อยู่บ้าน ผมจึงต้องนอนคนเดียวอีกครั้งในรอบหลายเดือน ซึ่งปกติผมจะชวนจิเน็นมานอนเป็นเพื่อน แต่วันนี้เขากลับปฏิเสธคำชวนของผมอย่างจริงจัง ตกดึกหลังจากผมปิดไฟเพื่อจะล้มตัวนอนก็ได้ยินเสียงดังมาจากชั้นล่างของบ้าน ผมจึงเดินลงไปเพื่อหาต้นตอของเสียง สักพักสติที่มีของผมก็ดับวูบลง
                ตื่นสิคนดีผมรับรู้ถึงสัมผัสที่หยาบกร้านที่ปัดป่ายไปทั่วใบหน้าของผม
                ‘อือ ผมพยายามจะขัดขืนต่อสู้เมื่อพบว่าคนที่กำลังโถมร่างทาบทับผมคือใคร นายทาคาคิ!! อย่าทำแบบนี้ ออกไป! จิเน็นจะเสียใจนะ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้อง ฮึก ฮึก
                ไม่เสียใจหรอก ก็น้องสุดที่รักของนายนั้นแหละที่เป็นคนบอกว่าวันนี้นายอยู่บ้านคนเดียว ยูริไม่สามารถให้สิ่งที่ฉันต้องการได้ และนายก็เป็นตัวแทนที่จะมอบสิ่งนั้นแทนเขา ดีไหมล่ะ? มันไม่ได้น่ากลัวใช่ไหมมือหยาบแกะกระดุมผมออกและลูบไล้ไปทั่วแผงอกอย่างหื่นกระหาย ผมรู้สึกเหมือนร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน เสียงร้องห้ามปรามเหมือนไม่ได้กระทบเข้าไปในโสตประสาทของคนหยาบช้าเลย แต่จริงๆฉันก็ชอบไดจังนะ ฉันคิดอยู่ตั้งนานว่าฉันจะจีบใครดีระหว่างไดจังกับยูริ แต่คิดว่าเล่นของยากๆแบบคุณหนูยูริน่าจะดีกว่า แต่ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้ เสียดายที่ยังไม่ได้ อืม แต่โชคดีแหะได้ไดจังเป็นของแถมด้วยเสียงแหบพร่าพูดพรรณนาสิ่งที่น่ารังเกียจออกมาจนผมทนไม่ไหวแต่ร่างกายผมมันล้าเหลือเกิน ไม่สามารถแม้กระทั่งจะตบปากเน่าๆของคนน่าขยะแขยงตรงหน้า
                ลิ้นหยาบตวัดเกี่ยวหยอกล้อกับยอดอก อีกมือก็พยายามจะลู่กางเกงนอนตัวบางของผมออก เรี่ยวแรงที่ยังเหลือพยายามยึดปราการสุดท้ายไว้ไม่ให้ลู่ไหล มือที่พยายามจะดึงกางเกงออกได้ล่ะความพยายามและมาตะปบเข้าที่แกนกายผมเสียเต็มรัก เขาพยายามจะเค้นคลึงจุดอ่อนไหวจนผมทนไม่ไหวจนต้องงอตัวรับกับความปวดหนึบที่เขาประเคนมาให้ เขายิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น เขาพยายามตรึงแขนผมทั้งสองข้าง และกดริมฝีปากลงมาทาบทับ
ร้องให้ฉันช่วยสิ ฉันช่วยนายได้นะ
                ไม่มีทาง!! ให้ตายฉันก็ไม่ลดตัวลงไปทำอะไรต่ำๆกับนายหรอก
                เก่งจังเลยนะ จะอดทนไปได้นานแค่ไหนกันล่ะ หรือนายอยากช่วยตัวเองต่อหน้าฉัน ก็ได้นะ ฉันว่ามันก็น่าสนใจดี หึ
                ‘อึดอัดผมต่อสู้กับร่างกายที่มันจ้องจะพยศผมอยู่ตลอดเวลา ร่างกายท่อนล่างที่ปวดหนึบจนมันทนแทบไม่ไหว
กริ๊ง กริ๊ง~
                เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นติดต่อกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เขาลุกขึ้นไปถอดสายโทรศัพท์ออกด้วยสีหน้าขัดใจ และจู่ๆเหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือของเขามาโทร และปลายสายนั้นก็คือ
                ยูริ ตอนนี้ฉันอยู่กับพี่ชายนายนะ ตอนนี้เรากำลังสนุกกันเลย ฉันพูดเผื่อนายจะอยากมาสนุกด้วยกัน พี่นายยังบอกเลยนะว่ามันไม่เจ็บเลย แถมหน้าตายังมีความสุขสุดๆไปเลยล่ะ ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ ฉันทำให้ยูริได้มากกว่าที่ฉันทำกับไดจังอีกนะ เราน่าจะได้มีความสุขด้วยกันนะ
                สติสุดท้ายที่ผมยังเหลืออยู่ ขอด่ามันทั้งคู่ผัวเมีย                เลว!’
                เมื่อตื่นเช้ามาคนที่เข้ามาทักทายผมแต่เช้าก็คือจิเน็น หน้าตาไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรเลยสักนิด มันยิ่งให้ผมยิ่งเกลียดพวกมันมากไปอีก ผมหลบหน้าและด่ากราดทุกครั้งที่จิเน็นมาวุ่นวายกับผม กับทาคาคิก็ไม่เคยเจอหน้ามันอีกเลย
                ผมก้าวร้าวขึ้น หงุดหงิดง่ายจนที่บ้านคิดว่าผมเป็นเด็กมีปัญหาไปแล้ว จนครั้งหนึ่งหม่าม้าผมถึงขนาดหลั่งน้ำตาออกมาเพราะคิดว่าผมเป็นแบบนี้เพราะเธอดูแลผมไม่ดี ผมจึงพยายามลดไอ้อาการเกรี้ยวกราดลงเพื่อไม่ให้ผู้เป็นแม่รู้สึกผิดและต้องมารับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ ผมพยายามทำตัวน่ารักกับหม่าม้า ร่าเริงให้มากขึ้น จนบางทีผมคิดว่ามันแทบไม่ใช่ตัวตนของผม!
                นี้เป็นเรื่องราวที่น่ารังเกียจใช่ไหมล่ะ ภาพในวันนั้นมันยังฝังอยู่ในหัวไม่ยอมหลุดไปไหน แม้จะพยายามใส่ความทรงจำใหม่ๆมากขึ้นเท่าไรก็ไม่สามารถทับถมสิ่งนี้ไปได้มิด ผมเคยคิดอยากจะทำตัวเหลวแหลกไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ผมจะได้คิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อถึงหน้าหม่าม้าขึ้นมาสิ่งเลวๆในหัวก็หายไปจนหมด
                จนเมื่อผมเจอกับอิโนะจังผมคิดว่าเขาจะช่วยให้ผมลืมเรื่องร้ายๆเหล่านั้นขึ้นมาได้ ผมนึกเลยเถิดขนาดอยากให้เขาเข้ามาลบรอยแผลเป็นบ้าๆพวกนี้ออกไป และสร้างรอยใหม่ที่มีเพียงแค่เขาและผมที่รู้ แต่นั้นก็เป็นความคิดที่คอยแต่จะเข้าข้างตัวเอง เมื่อเขาไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยมากกว่าพี่น้อง ผมจึงต้องแสร้งทำเป็นน้องชายที่ดีกับเขาต่อไปเพื่อให้เขาสบายใจและจะได้ไม่สร้างปัญหาให้เขาอีก

                ผมไม่อยากเป็นตัวปัญหาของใครอีก!!

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

take me to the top

            ในห้องนอนที่ถูกประดับตกแต่งด้วยบรรดาเฟอร์นิเจอร์โทนสีอุ่นสุดคลาสสิค บ่งบอกถึงความเรียบง่ายและความมีสไตล์ของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี หน้าต่างที่ถูกแสงแดดลอดผ่านเข้ามาเตือนว่าได้ถึงเวลาที่เจ้าของห้องและผู้มาอาศัยควรลืมตาตื่นจากนิทราเสียที
            "อื้ออ" ผู้เป็นเจ้าของห้องบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดจิ๊ปากใส่อย่างรำคาญ แต่ก็ยังคงมุดตัวอยู่ในแผงอกกว้างและซุกกายอยู่ในกองผ้าห่มสีขาวนวลผืนเดิม
ปฏิกิริยาแบบนี้ยิ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องหมั่นไส้และยิ่งอยากแกล้งคนตัวเล็กมากขึ้น เขาพลิกตัวขึ้นไปคร่อมทับคนร่างเล็กที่ยังคงชักสีหน้ารำคาญแม้ดวงตาคู่นั้นจะยังปิดสนิทอยู่ก็ตาม
           "จัง~เขาไม่เล่นนะ" คนตัวเล็กดิ้นอึกอัก พยายามจะผลักคนที่ชอบเล่นพิเลนให้กลับมานอนข้างๆเหมือนเดิม
            "ก็ไม่ได้เล่นสักหน่อย" คนขี้แกล้งโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหู หวังให้ลมหายใจอุ่นๆจะช่วยปลุกคนข้างล่างได้บ้าง
            "ไม่ได้ปลุกเราคนเดียวแล้วรู้ไหม -//-" คนตัวเล็กผิวแดงระเรื่อไปทั่วทั้งตัว ทั้งเขินทั้งอาย แม้ว่าจะเคยๆกันอยู่ แต่เพราะเป็นคนตรงหน้านี้แหละมั้ง ที่ไม่เคยทำให้รู้สึกถึงคำว่าชินชาเลย
            "จริงๆก็ไม่ตั้งใจจะปลุกไดจังสักหน่อย" มือของคนขี้แกล้งเลื่อนสัมผัสลงมาเรื่อยๆ ทำให้คนตัวเล็กวูบวาบไปทั่วท้องน้อย
            "เดี๋ยวเถอะ!!"คนตัวเล็กตะครุบหนวดปลาหมึกไว้ได้ทันก่อนที่มันจะไปกราดเกรี้ยวใส่เสากระโด่งเรือ"เคย์ มีเรื่องอยากขอ"
            "หืม เอาไว้ค่อยคุยกันก็ได้น่าา" จมูกโด่งยังคงไล้เลื่อยไปทั่วซอกคอขาว
            "ตอนนี้ ต้องตอนนี้!!"คนตัวเล็กดันหัวของคนรักออกมา และใช้สองมือประคองใบหน้าของคนตรงหน้าให้หันมาคุยกันอย่างจริงจังเสียก่อน
             "หืม มีอะไรครับคนดี" คนขี้แกล้งวางมือทับบนมือของคนรักและใช้แรงเลื่อนมือเล็กๆมาจูบ และพยายามจะบรรเลงเพลงรักต่อ แม้จะถูกยื้อยุดไว้ก็ตาม
             "เราอยาก on top!!!"คนตัวเล็กตะโกนออกมาพร้อมหลับตาปี๋ คนรักดูจะหน้าถอดสีไปอยู่ครู่นึงก่อนจะปรับสีหน้ามาเป็นเช่นเดิม และยกยิ้มให้คนรักอย่างไม่ถือสา
             "อยากลองจริงหรอ??" คนขี้แกล้งถามซ้ำเพื่อความแน่ใจของคนรักของตนอีกครั้ง
             "เราก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมไดจังจะทำแบบเคย์บ้างไม่ได้ล่ะ" คนตัวเล็กเอียงคอเล็กน้อยอย่างสงสัย ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสากับความคิดพิลึกพิลั่นแบบนี้มันช่างสวนทางกันเหลือเกิน
             "หืม ทำไมกันล่ะ ไม่รู้หรอก แล้วเวลาเคย์ทำให้ไดจังไม่มีความสุขหรอ" มือเรียวสวยขยี้ผมของคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว
             "อืม ถึงจะเจ็บไปหน่อยก็เถอะ แต่ไดจังก็อยากช่วยเคย์บ้างนี่นา" ใบหน้าของคนตัวเล็กหลุบต่ำลงอย่างเขินอาย
             "งั้นไดจังก็ต้องขึ้นมานั่งบนตัวเคย์นะ ทำได้ใช่ไหม" มือของเคย์เชยคางของคนรักขึ้น 
             "อือ" เคย์ขยับร่างกายลงมานั่งบนฟูกขาว สลับกับคนรักที่พยายามจะขึ้นไปนั่งบนตัวเขาแทน
             "ถอดกางเกงให้เคย์สิ"
             "อือ เคย์ไม่ต้องบอกหรอก เดี๋ยวเราทำให้" คนข้างล่างชะงักกับท่าทีขึงขังของคนรักเล็กน้อย
             "ไว้ใจได้แน่นะ"เคย์ยิ้มหยอกล้อให้คนที่ยังคงสั่น แต่ใบหน้ากับจริงจังเหมือนกับจะไปออกรบ
   คนร่างเล็กโน้มตัวลงมาประกบปิดริมฝีปากนุ่มของคนรักแทนคำตอบ มือทั้งสองจัดการถอดชิ้นผ้าบางที่กั้นกายของทั้งเขาและคนรักไว้ เคย์ยิ้มอยากพอใจกับท่าทีของไดกิ คนตัวเล็กยังคงจูบพรมไปทั่วซอกคอขาวแบบที่คนรักเคยทำให้เขา มือเล็กรูดสาวแกนกายของคนรักอย่างที่เคยทำ ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากอวบอิ่มลงมาครอบแกนกายของคนรักแทน เคย์ร้องออกครางออกมาอย่างพอใจ นั้นยิ่งทำให้คนตัวเล็กได้ใจ ลิ้นรัวหยอกล้อกับเส้นทางน้ำรักของคนรัก พลางสาวรูดแก่นกายของตัวเองเพื่อเร่งเร่าอารมณ์
  เคย์จับหัวไดกิให้กลับไปครอบแกนกายของตนเหมือนเดิม เพราะมันเริ่มจะปวดหนึบขึ้นมาเสียแล้ว
            "ไดจังขึ้นมานั่งตรงนี้สิ" คนตัวเล็กขยับตามอย่างว่าง่าย "หันหลังมาหน่อย" คนตัวเล็กร้องอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดใจคนรักแต่อย่างใด
            เคย์ลงลิ้นกับช่องทางรักก่อนจะใช้นิ้วเรียวสวยค่อยๆเปิดทาง ไดกิร้องอื้ออึงออกมาก "เคย์~" เมื่อคนข้างล่างมั่นใจวว่าคนรักจะเจ็บน้อยที่สุดแล้วจึงบอกให้ไดกิหันกลับมาหาตนและจับคนรักวางบนตัก
            "ได้เวลาแล้วนะ ไดจังมาสิ"คนข้างล่างยกเอวอวบของคนรักขึ้นและกดกายให้สวมครอบกับกับแกนกายของเขาได้อย่างพอดี คนข้างบนพยายามยกตัวขึ้นไม่ยอมกดกายลงมาเพราะกลัวเจ็บเหมือนเคย "ขยับสิครับคนเก่ง" ไดจังหลับตาปี๋และพยายามขยับกายขึ้นลงอย่างหวาดหวั่น เคย์ที่อยากแกล้งคนตัวเล็กเด้งสะโพกสวนขึ้นมาเล็กน้อย จนทำให้คนข้างบนรู้สึกตัวอ่อนปวกเปียกขึ้นมาจึงโอบรอบคอคนรักไว้ เคย์บีบคลึงสะโพกสวย และพยายามกดยกกดขึ้นพร้อมกับขยับเอวตัวเองให้สวนรับกับจังหวะรัก
            "เคย์ อ๊ะ อ๊า"
            "อะไรหรอครับ"
            "แล้วมันต่างจากเดิมตรงไหนล่ะทีเนี่ย!!"
            "ก็ตรงที่ไดจังอยู่ข้างบนไง" เคย์งับติ่งหูของคนรักอย่างหยอกล้อ
.
.
.
.
.
.
.
            "เป็นไงมั้งไดจัง"กลุ่มเพื่อนรักของไดกิถามขึ้น
            "ก็ on top ไง"
            "เป็นไงๆ"
            "ก็ไม่เห็นแตกต่างนี้นา แค่เราขึ้นไปอยู่ข้างบนไม่ใช่หรอ" เพื่อนๆหันมามองหน้ากันและหัวเราะคิกคักอย่างมีเลศนัย
             "แบบนี้อิโนะจังสนุกแย่เลยสิ"
             "ก็เห็นยิ้มตลอดเลย ไม่รู้จะยิ้มอะไรหนักหนา" คนตัวเล็กบู้ปากยู่ ทั้งที่ใบหน้าแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ
             "ไดจังนี้น่ารักจังเลยน่า คิกๆ" คนถูกชมทำหน้ายุ่งอย่างไม่เข้าใจ
             "หัวเราะอะไรกัน ทำไมวันนี้เจอแต่คนกวนประสาทนักว่ะ!!!!"
.
..
.

.
            "ได้ข่าวว่าโดนเมียจิ้มหรอครับคุณชาย"คนที่ถูกทักยิ้มรับอย่างมีความสุข
            "ขอโทษที ข่าวของพวกมึงคงมั่วแล้วล่ะ ใครจะยอมให้จิ้ม ได้เสียเชิงคุณชายกันพอดี ฮาฮ่า"
            "สงสัยโดนจิ้มจนเสียสติไปแล้วสินะไอ้คุณชาย"
            "ไม่เชื่อก็เรื่องของพวกมึง นี้ระดับไหนแล้ว ไม่มีพลาดให้เสียชื่อและเสียตูดเว้ย!!"
            "ได้ไงว่ะ กูอุตส่าห์พนันกับพวกฝั่งนู้นว่ามึงแม่งโดนเสียบแน่ๆ ทำไมมึงไม่ยอมไดจังไปว่ะ ไอ้ห่านี้"
            "พวกมึงสินะที่แม่งมาปั่นหัวเพนกวินน้อยของกู เอาเหี้ยอะไรมาใส่หัวเพนกวินน้อยแสนบริสุทธ์ของกูอีกฮ่ะ!!"
             "เพนกวินมึงเสียบริสุทธ์ตั้งแต่มึงพาน้องเขาไปจิ้มล่ะ อย่ามาทำโวยวาย ห่า"
             "คนล่ะบริสุทธ์เว้ย!! เพนกวินกูถึงจะไม่เวอร์จิ้น แต่ความคิดคนของกูอย่างกับผ้าขาวๆ มึงอย่าไปเอาโคลนประหลาดๆของพวกมึงมาสาดใส่อีกล่ะ"
             "ไว้คราวหน้ากูจะสอนคำว่ารุกกับรับให้น้องฟังล่ะกัน คราวหน้ามึงเสียตูดแน่ ไอ้คุณชาย"คนที่ถูกเพื่อนแกล้งลุกขึ้นไล่เตะเพื่อนตัวแสบแถมยังโวยวายเสียงดังไปทั่วลานเอนกประสงค์ของคณะ ทำให้คนแถวนั้นขบขันไปกับท่าทางโวกเวกของเดือนคณะสุดหล่อและเหล่าเพื่อนซี้
             "งั้ยกูก็จะสอนยูริจังให้อัดตูดมึงแน่ ถ้าน้องไม่เคย กูจะเปิดคอร์สติวตัวต่อตัวให้เลยแล้วกันเป็นไง ฟรีนะฝากบอกด้วย คิคิ"
             "เคย์จะสอนวาดรูปให้จิเน็นหรอ แต่จิเน็นเรียนบัญชีจะได้ใช้หรอเคย์"คนเพิ่งมาใหม่ที่ฟังความไม่ได้ศัพท์ เอียงหัวอย่างสงสัย
             "ไดจัง!! เราแค่พูดเล่นน่ะ"
             "อ้อ จ้า" คนตัวเล็กพยักหน้าอย่างเข้าใจง่าย
             "ไอ้คุณชายกลัวเมีย!!!!5555555" 
             เอาเป็นว่าผมยอมกลัวเมียเพื่อให้โลกขอผมสงบสุขล่ะกันนะ คึคึ แต่โลกของพวกมงอ่ะไม่แน่!!

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

4-Lair Love

                “ทาไดมะมาม๊า ไดกิเองครับ” ผมได้ยินเสียงตึงตังภายในบ้าน คาดว่าเกิดจากความรีบร้อนที่จะวิ่งมาเปิดประตูให้ลูกชายตัวน้อยคนนี้นั้นแหละครับ
                “ไดจังงง ลูกมาได้ไง แล้วนี่
                “สวัสดีครับคุณแม่ ผมอิโนโอะ เคย์” ผมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
                “อ้อ เชิญเข้าไปในบ้านก่อนสิจ๊ะ ไปนั่งคุยกันดีกว่านะ” แม่ไดจังทำท่าผายมือให้เข้าบ้าน ส่วนคนขี้โวยวายเมื่อครู่ กลายเป็นลูกแมวขี้อ้อนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ไดจังเดินเข้าไปเกาะเอวแม่แล้วเดินตามเข้าไปในบ้าน
                “แล้วนี้มามีอะไรกันหรือเปล่าหนุ่มๆ”ทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะทานอาหารตัวเล็กนี้คุณแม่ก็ยิงคำถามที่เราเตรียมมาแล้วอย่างดิบดี
                “พอดีไดกิลืมของครับมาม๊า”
                “นั้นไงม๊าบอกแล้ว ว่าให้ดูของไปให้เรียบร้อย เรานี้นะ แต่ไหนๆก็มาแล้วก็นอนสักคืนสองคืนก็ได้ อิโนโอะคุงว่างไหมลูก”
                “ว่างสิครับ ผมกะว่าจะมาพักผ่อนสักหน่อย อุตส่าห์ปิดโปรเจคได้แล้วทั้งที ฮาฮ่า”
                “นั้นสินะ อิโนโอะคุงเรียนปี 1 แล้วสินะ ช่วยดูน้องหน่อยนะลูก นี้จะขึ้นมอปลายแล้วยังไม่โตเลยดูสิ” แม่เอามือขยี้ผมคนขี้อ้อนที่ยังกอดเอวแม่ตัวเองไว้แน่น
                “ครับผม ไดจังเป็นเด็กดี เลี้ยงง่ายออกครับแม่ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
                “ได้ยินอย่างนี้แม่ก็โล่งใจ อ่า! มาเหนื่อยๆไปอาบน้ำกันไหมลูกเดี๋ยวแม่ไปเตรียมน้ำให้นะ ไดจังพาพี่เขาเอาของไปเก็บที่ห้องสิ เลิกอ้อนได้แล้วลูกหมู”
                “ม๊าขุนไดกิเองนะ -3-”คนที่ถูกเรียกว่าลูกหมูดันจมูกตัวเองให้เชิดขึ้น แถมยังพูดจ้ายียวนกวนผู้เป็นแม่อย่างน่ารักน่าเอ็นดู
                “ไปๆ ไม่เล่นแล้วเจ้าตัวแสบ ไปส่งพี่เขาเก็บของได้แล้ว เดี๋ยวแม่จะได้ไปเตรียมน้ำให้อาบ”
                “คร้าบบบบโผมมม”ลูกหมูขานรับด้วยน้ำเสียงยานคาง ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินนำผมไปเพื่อพาไปเก็บกระเป๋าตามคำสั่งของผู้เป็นแม่
                “ตามมาๆ บ้านฉันมีแค่สองห้อง
                “ไดจัง เรียกแทนตัวกับพี่เขาอย่างนั้นได้ยังไงน่ะ เดี๋ยวเถอะๆ”เสียงผู้เป็นแม่ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
                “อ๊ะ! ครับๆ”ไดจังขานรับ และหันกลับมาอธิบาย “อืม ถึงไหนนะ อ้อ! บ้านผมมีสองห้องคือห้องนอนของผมกับป๊าม๊า อิโนะจังนอนห้องผมล่ะกัน เดี๋ยวผมจะนอนกับมาม๊า ”
                “ไดจังนอนกับฉันก็ได้นิ เกรงใจแม่นะ”
                “ไม่เอาหรอก อิโนะจังกลัวผีหรอ บ้านไดจังไม่มีผีหรอกนะ”คนตัวเล็กกว่าทำหน้าล้อเลียน
                “ไม่ได้กลัวผีสักหน่อย”ผมได้แต่บ่นอุบอิบเบาๆ ไม่ได้หวังให้คนตรงหน้ามาสนใจกับคำรำพึงรำพันอะไรของผมหรอก
                ไดจังเอื้อมมืออ้อมไปทางข้างหลังผม พร้อมกับเดินเบียดตัวไปเปิดไฟภายในห้อง เป็นห้องที่เปล่าๆที่มีเพียงตู้เสื้อผ้าและโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กวางไว้ที่มุมห้อง
                “ห้องเล็กกว่าบ้านอิโนะจังมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ ถ้าไดจังมานอนยัดด้วยมีหวังต้องอึดอัดแย่ ก็เขาเป็นหมูนี่นา”คนตัวเล็กดันจมูกเชิดใส่ ก่อนจะเดินอาดๆไปที่ตู้เสื้อผ้า และหยิบฟูกผืนสีชมพูเหมือนเด็กผู้หญิงมาปูกับพื้น พร้อมตบฟูกแปะๆ “ฟูกสีชมพูไม่เหมาะกับไดจังเลยใช่ไหมล่ะ ความจริงมาม๊าอยากได้ลูกผู้หญิงล่ะ แต่มาม๊าก็บอกนะว่าถึงยังไงก็รักไดจังอยู่ดี”
                “ไม่เห็นไม่เหมาะเลย โคตรเข้ากับไดจังเลยนะ”
                “จะว่าผมไม่แมนหรอ ไอ้สีชมพูหวานแหววแบบนี่เนี่ยนะ”คนตัวเล็กยู่ปากแบบขัดใจ ตอบยังไงก็ผิดสินะ เฮ้อออ
                “มีผู้ชายตั้งเยอะแยะที่ชอบสีชมพูแล้วก็เข้ากับสีชมพู เอ่อ แบบยามะจังไง ยามะจังที่ร้านอาหารน่ะ ไดจังจำได้ใช่ไหม”
                “อ่า นั้นสินะ ถ้าอย่างยามะจังยังไงก็เหมาะแน่ๆ”คนตัวเล็กยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจในคำตอบ”อ๊ะ! อิโนะจังก็เตรียมของไปอาบน้ำเถอะ ม๊าคงเตรียมน้ำเสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวผมก็เอาของตัวเองไปเก็บก่อนล่ะกัน”
                “นอนด้วยกันเถอะนะ”มือของผมดันไปรั้งแขนของคนตัวเล็กเสียได้
                “เป็นอะไรหรือเปล่าอิโนะจัง ก็บอกแล้วไงว่ามัน
                “มันแปลกที่น่ะนอนด้วยกันเถอะนะ”คนตัวเล็กหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง
                “แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”ไดจังหันหลังเดินออกจากห้องและวิ่งลงบันได ก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยฟูกสีขาวสะอาด “อันนี้ให้อิโนะจังนอนล่ะกัน แล้วก็นะม๊าเรียกให้ไปอาน้ำแหน่ะ เดี๋ยวผมปูที่นอนเสร็จจะตามลงไปนะ”
                “อือ”ผมตอบรับอย่างสบายใจมากขึ้น
                เชื่อไหมว่าหนุ่มมหาลัยอย่างผมเนี่ย ไม่เคยแม้แต่จะไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนเลย เพราะไม่ชอบการนอนแปลกถิ่น แถมไอ้นิสัยแบบนี้ล่ะมั้ง ผมถึงไม่ค่อยจะมีเพื่อนเลยน่ะสิ ถึงจะแอบมีไปนอนกับสาวๆบ้าง แต่ผมก็ไปส่งพวกเธอหลังเสร็จกิจทุกครั้ง คงไม่มีใครอยากเห็นชายหนุ่มที่กำลังหลงเสน่ห์อยู่นอนละเมอร้องไห้แบบเด็กๆหรอกใช่ไหมล่ะ ถึงแค่ 1 คืนก็อยากให้เป็นความประทับใจดีๆต่อพวกหล่อนล่ะนะ
                ผมเดินลงบันไดไป และพบกับคุณแม่ไดกินั่งจิบชาอย่างใจเย็นอยู่ที่โต๊ะกับข้าว พร้อมทั้งยิ้มทักทายก่อนที่จะผายมือแนะนำทางไปห้องอาบน้ำให้กับแขกอย่างผมในวันนี้ ผมรีบก้มโค้งขอบคุณก่อนจะเดินไปตามทางที่เธอแนะนำ
                .
                .
                .
                “อิโนโอะคุงลูก ม๊าขึ้นไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวม๊าตามไดจังให้ลงมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วกันนะจ๊ะ”
                “ครับผม ขอบคุณมากครับ”
-Arioka’s part-
                “ลูกหมู เตรียมที่นอนเสร็จแล้วก็ลงไปอยู่เป็นเพื่อนอิโนโอะคุงได้แล้ว”
                “ครับๆ มาม๊า” ผมก้าวเดินลงบันไดไปอย่างเชื่องช้า ก็มันง่วงแล้วนี่นา นั่งรถมาทั้งวัน ปวดเหมื่อยไปหมดเลยแหะ
                เมื่อผมลงมาถึงชั้นล่างของบ้าน ก็จัดการนอนเอาหน้าแนบไปกับพื้นโต๊ะกับข้าวที่ไม่แน่ใจว่าสะอาดแล้วหรือเปล่า แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวก็อาบน้ำแล้วนี่นา
                ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน จนสัมผัสได้ถึงหยดน้ำเย็นๆ ที่หยดลงมาเต็มใบหน้า
                “ตื่นแล้วหรอ ฉันอาบน้ำนานมากเลยสินะ ขอโทษทีนะ”
                “อะอิโนะจัง ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก ฉันแค่เพลียๆนิดหน่อยน่ะ รู้สึกขี้เกียจอาบน้ำจัง”
                “ไม่อาบ ไม่ให้นอนด้วยหรอกนะ”
                “ไปนอนกับม๊าก็ได้”ทั้งที่ง่วงขนาดนี้ แต่ขอแกล้งคนขี้กลัวนิดนึงจะเป็นไรไป ใครต้องง้อใครกันแน่อิโนะจัง หึหึ
                “เดี๋ยวช่วยอาบให้ก็ได้นะ หลับไปเลย จะช่วยขัดถูให้ทุกส่วนเลยดีไหม”จู่ๆอิโนะจังก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ แถมยังยื่นหน้ายียวนนั้นมาใกล้ๆ จนผมชักจะอายไอ้เสียงลมหายใจที่ติดขัดแบบนี้น่ะสิ หวังว่าจะไม่สนใจมันหรอกนะ
                “บ้าหรอ! พูดไปงั้นแหละ ไดจังรักสะอาดจะตาย อาบเองได้สบายมาก”
                “หึหึ ก็ดี เดี๋ยวรออยู่นี้ล่ะกัน”
                “แล้วแต่ ถ้าไม่กลัวเป็นปอดบวมตายล่ะก็นะ”ผมมองดูคนที่นั่งไขว้ห้างเอาผ้าเช็ดเรือนผมอย่างไม่พิถีพิถัน กับผ้าขนหนูที่ห่มร่างกายช่วงล่างไว้อย่างดี แม้จะพูดจาประชดประชันไปขนาดนั้น แต่เขากลับไปยี่หระกับคำพูดของผมแม้แต่น้อย อยากจะรอก็รอไปล่ะกัน ผมเดินหันหลังเพื่อเดินไปอาบน้ำก่อนที่น้ำหายอุ่นเอาเสียก่อน
                “กลัวอดใจไม่ไหวล่ะสิ คิกคิก”
                “ได้ยินนะ!!
                “งั้นก็ได้ยินไว้ด้วยนะ ถ้าไม่รีบอาบผมจะไปช่วยถูหลัง”
                “บ้า!!
                .
                .
                .
                ไอ้เสียงโวยวายเมื่อครู่เงียบลงไปพักใหญ่ๆ จากที่อาบน้ำอย่างเนิบนาบเพื่อต้องการจะกวนประสาทคนข้างนอก ก็ต้องรีบลุกออกจากอ่างน้ำและจัดการปล่อยน้ำให้ไหลออกจากอ่าง ก่อนจะหยิบผ้าคลุมอาบน้ำสีชมพูมาห่มตัว แล้วก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหัวอย่างลวกๆ และรีบออกจากห้องน้ำมาดูสภาพคนข้างนอกสักหน่อย หนาวตายไปหรือยังล่ะอวดเก่งดีนัก!!
                เมื่อก้าวเท้ามาถึงห้องครัวก็พบร่างบางสั่นงกๆเอาหน้าแนบไปกับโต๊ะกับข้าวตัวเดิม ใบหน้าดูซีดเซียว ตาหลับพริ้ม แต่คิ้วคู่นั้นกลับขมวดยุ่งเข้าหากัน คนที่เพิ่งมาใหม่เดินไปประชิดตัวเพื่อไปอังหน้าผาก หลังมือสัมผัสได้ถึงไอร้อนๆที่แผ่ออกมา ร่างคนตรงหน้าเผยอปากออกเล็กน้อยเหมือนพยายามบอกอะไรบางอย่าง คนตัวเล็กก้มตัวลงเพื่อต้องการที่จะรับฟังในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการจะบอก
                “ได
                “ผมหรอ”
                “ไดเป่าผม”
                “ห๊ะ!!??”สิ้นเสียงอุทานไม่เท่าไร คนที่ทำท่าทางอ่อนเปลี้ย ไร้เรี่ยวแรงเมื่อครู่ก็ใช้มือโน้มคอคนตัวเล็กลงมาประกบปาก คนตัวเล็กได้แต่ทำตาโตงงงวยกับเหตุการณ์ตรงหน้า “ทำทำไม??
                “ไม่รู้” คนที่แสร้งอ่อนแรงเมื่อครู่ก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนตรงหน้า ทั้งไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง และไม่เข้าใจปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้าไดกิจูบตอบเขา ไม่รู้ว่าเพียงเพราะเผลอตัวหรืออะไรกันแน่
                “เฮ้อออ”คนตัวเล็กถอยหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่เข้าใจความหมาย ก่อนจะลุกขึ้นและเดินขึ้นบันไดเงียบๆ
-Inoo’s part-
                เอาแล้วไง วุ่นวายอีกแล้วไง ทำไมถึงทำอะไรไม่คิดอีกแล้วนะเรา โดนเกลียดเข้าเต็มๆแล้วสินะ ผมนั่งอยู่ข้างล่างนี่สักพักเพื่อหวังให้ไดกิหลับไปก่อน หรืออาจจะหนีไปนอนห้องของคุณแม่แล้วก็ได้
                เมื่อเสียงข้างบนเงียบไปพักใหญ่ๆผมก็เดินขึ้นไปบนห้อง ปรากฏว่าพบกับร่างเล็กนั่งสัพหงกอยู่มุมห้อง ผมจัดการอุ้มร่างเล็กลงมานอนกับฟูกสีชมพูของเจ้าของ และห่มผ้าให้เรียบร้อย คนตัวเล็กเหมือนจะลืมตาขึ้นมามองเล็กน้อย
                “เพราะว่านายนอนคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” ร่างเล็กหันหน้าไปอีกทางก่อนที่เสียงทุกอย่างจะเงียบลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำของคนที่ยังนอนไม่หลับเท่านั้น
                ผมปิดไฟและล้มตัวนอนลงบนฟูกขาวที่ไดกิจัดไว้ที่มุมห้องอีกฝั่งซึ่งห่างจากฟูกของเจ้าตัวไม่มากนัก สายตายังคงมองแผ่นหลังของคนตัวเล็ก ไม่มีความคิดอะไรในหัว แค่อยากจะมองแค่นั้นเอง
                .
                .
                .
เช้าวันรุ่งขึ้น
                ผมลืมตามาก็ไม่พบอะไรเลย แผ่นหลังเมื่อคืนหรือกระทั่งฟูกสีชมพูก็คงถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อยภายในตู้ตัวเดิมของมันนั้นแหละ ผมลุกขึ้นเพื่อจัดการกับฟูกของผมบ้าง ก่อนจะพับฟูกเสร็จ เสียงประตูก็เปิดออก เป็นคนที่เกลียดผมเข้าไปแล้วนั้นแหละ
                “ม๊าให้มาตามไปกินข้าว ลงไปเลย เดี๋ยวที่เหลือจัดการให้” คนที่ยังมีท่าที่โกรธเคืองผมอยู่เดินเข้ามาแย่งฟูกออกไปจากมือผม แล้วเอาไปพับแล้วยัดเข้าตู้ที่เก็บฟูกสีชมพูของเขา
                “อืม”ผมเดินนำคนตัวเล็กลงมาก่อน พอมาถึงเสียงคุณแม่ก็ทักขึ้นมาอย่างแจ่มใสถามไถ่สัพเพเหระทั่วไป ก่อนจะทิ้งท้ายว่ามีธุระต้องไปข้างนอกบ้าน บ่ายๆกว่าจะกลับ อีกทั้งยังกำชับว่าอย่าเพิ่งรีบกลับให้รอทานหม้อไฟตอนมื้อเย็นนี้ก่อน ผมก็ได้แต่รับปากไปเพราะไม่ได้มีธุระเร่งด่วนอะไรอยู่แล้ว พรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์ทั้งที
                หลังจากคุณแม่ออกจากบ้านไปแล้ว บ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ เสียงคนที่เคยเจื้อยแจ้วเสียงใส ไม่มีอีกแล้ว ก็ในเมื่อโดนเกลียดไปแล้วคงทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ เฮ้อ!
                ไดกิก้มหน้าอ่านหนังสือการ์ตูน เสียบหูฟังตัดเข้าสู่โลกส่วนตัว หรือก็คือตัดผมออกจากโลกของเขานั้นแหละ ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินหนีออกนอกบ้านไปเสียเลยดีกว่า ข้างๆบ้านมีต้นไม้ที่ถูกดูแลอย่างดี ถูกปลูกเรียงรายอย่างสวยงาม พุ่มดอกไม้ปลูกเป็นทางทอดยาวเว้นช่องว่างไว้สำหรับสัญจร ผมเดินไปเรื่อยๆก็พบกับบ้านหลังโตที่ไดจังเคยแนะนำว่ามันคือบ้านของน้านั้นเอง ผมเห็นว่าไม่ควรจะเดินต่อจึงหมุนตัวจะเดินกลับ แต่ก็มีเสียงเล็กๆได้ดึงให้ร่างผมหยุดเสียก่อน
                “ใครน่ะ!!...ไดจังหรอ??
                “เอ่อผมเป็นรุ่นพี่ไดจังครับ ชื่ออิโนโอะ เคย์ พอดีไม่ทราบว่าเดินมาแล้วมันจะมาโผล่ที่บ้านของคุณต้องขอโทษด้วย” เด็กผู้ชายตัวเล็กมองมาที่ผมด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
                “งั้นไดจังก็อยู่บ้านน่ะสิ!”เด็กชายที่รูปร่างเล็กกว่าไดจังเล็กน้อยรีบวิ่งนำผมไปที่บ้าน และตะโกนเรียกเสียลั่นบ้าน แต่ก็ไม่มีท่าทีตอบรับของคนข้างใน คงเป็นหูฟังที่เปิดเพลงเสียดังลั่นนั้นแหละ
                “เอ่อ ไดจังคงเสียบหูฟังอยู่น่ะ คุณไม่เข้าไปในบ้านเลยล่ะ”สายตาคู่น้อยกระตุกวูบลงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้ผม และออกคำสั่งอยากเอาแต่ใจ
                “ไปเรียกไดจังให้หน่อยสิ!
                “เอ่อครับ” ผมจำใจต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับโลกของไดจังอีกครั้ง ผมเดินไปสะกิดไหล่คนตัวเล็ก เข้าหันหน้ามาเล็กน้อยและทำหน้ายุ่งใส่ ผมชี้ไปทางประตู ไดจังถอดหูฟังออกไปข้าง
                “น้องไดจังให้มาเรียก” คนที่หน้ายุ่งอยู่แล้วกลับทำคิ้วขมวดหนักกว่าเก่า แถมยังเบะปากอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินอาดๆไปที่ประตู
                “จิเน็น!!
                “ทำไมมาไม่บอกยูริเลยล่ะไดจัง” คนตัวเล็กกว่าทำหน้างอนๆ
                “ก็ไม่นึกว่าจะอยู่บ้าน” น้ำเสียงของอีกคนดูจะกระตือรือร้นมากๆแต่อีกคนก็กลับเย็นชาอย่างสุดขั้ว
                “กับยูยังไม่มีอะไรเลยนะ ไดจังโกรธยูริหรอ” เสียงอีกคนที่กระเหง้ากระงอดกลับทำให้อีกคนยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก
                “ทำไมต้องพูดถึงมันอีก ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ ทั้งมันแล้วก็นาย!”สีหน้าคนตัวเล็กกว่าดูเศร้าลงไปถนัดตา ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อไหลออกมาจากตาดวงสวย
                “ยูริขอโทษ เราเลิกกันแล้ว ตั้งแต่วันที่ไดจังไปที่นู้น ยูริไม่ชอบที่ไดจังต้องไปไกล ไกลจากยูริเลย ไม่ชอบให้ยูยังถามหาไดจัง ไม่ชอบยูยังที่พูดถึงแต่ไดจังด้วย ไม่ชอบ ไม่ชอบอะไรสักอย่าง แต่ยูริชอบไดจังนะ ไม่ได้เกลียดเลย ไดจังอย่าเกลียดยูริได้ไหม” คนที่ร้องไห้ฟูมฟายทรุดลงนั่งกุมเข่าตัวเอง คนที่ทำท่าทางหยิ่งยโส แต่สายตาคู่นั้นกลับกระตุกวูบกับถ้อยคำเหล่านั้นไม่รู้สักกี่ครั้ง ท่าทีของเขาเริ่มอ่อนลง ก่อนจะนั่งลงเป็นเพื่อนคนตัวเล็กและยื่นมือไปแตะบ่าที่สั่นไหว และโน้มตัวลงกระซิบใกล้ๆแก้มใส
                “ไม่ต้องมาเล่นละคร!” คนท่าทีหยิ่งยโสได้กลับมาอีกครั้ง เขาหันหลังและรีบปิดประตูบ้าน ปล่อยให้ผู้สังเกตเหตุการณ์ได้แต่งงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
                “ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือไง แค่เรื่องผู้ชายคนเดียวถึงขนาดตัดญาติกันเลย!?”ผมตั้งใจกระแทกเสียงคำว่า ผู้ชายที่มันคับข้องอยู่ในใจผมออกไป ผู้ชายคนที่นายรักสินะ ยูยังงั้นหรอ!?
                “ไม่รู้อะไรก็อย่าพูดดีกว่า”ดวงตากลมโตคู่นั้นสั่นไหวอีกครั้ง ไหล่น้อยๆห่อตัวและกระตุกไหวจนผมตกใจ ผมจึงรีบวิ่งไปประคองร่างเล็กไว้ “อึก อึ้ก อึก ฉันสกปรก สกปรกไปทั้งตัว เกลียดๆ เกลียด” คนตัวเล็กฟูมฟายออกมาอย่างไม่เข้าใจความหมาย มือน้อยพยายามถูไถไปตามตัวจนเกิดรอยแดง หนักเข้าก็จะเอาเล็บข่วนไปตามร่างกายตัวเอง ผมจึงต้องกอบกุมมือน้อยๆนั้นไว้ “สกปรก ฉันมันสกปรก ต้องทำความสะอาดๆ ฉันจะไปอาบน้ำ นายถอยไป!!”คนตัวเล็กพยายามจะผละออกจากผม ผมที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่คิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเขามากๆ ผมประคองร่างเล็กให้เดินไปที่ห้องน้ำ
                “ผมจะช่วยเอง”สายตามองผมอย่างไม่ไว้ใจนัก “ไว้ใจผมเถอะ เหลือแค่ผมไม่ใช่หรือไง” ผมได้แต่โอบกอดร่างที่สั่นไหว และพาเขาเข้าไปชำระล้างร่างกายที่สกปรก(?) ผมจัดการถอดเสื้อยืดลายการ์ตูนและกางเกงใส่เล่นเหลือเพียงกางเกงในตัวจิ๋ว ผมเปิดน้ำใส่อ่างและอุ้มร่างบางวางลง และถอดผ้าชิ้นสุดท้ายที่ติดตัวคนตัวเล็กออก ผมเดินลงไปบนขอบอ่างนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังคนตัวเล็กและลูบไล้สบู่ไปทั่วกายคนตัวเล็ก เขาสะอื้นออกมามากกว่าเดิม และก้มหน้างุดๆกอดเข่าตัวเองไว้ ก่อนที่จะหันหลังมาประชันหน้ากับผมและรั้งเอวผมไปกอดไว้แนบกับแก้มกลมๆ
                “ฉันสกปรก นายมายุ่งกับฉันก็ต้องสกปรกไปด้วย ถ้าจะถอยตอนนี้เลยก็ยังทันนะ ความรู้สึกฉัน ฉันจะหยุดมันไว้เอง” ผมไม่ได้ตอบรับก็ไม่ได้ผลักไส ยิ่งโอบกอดร่างเล็กไว้ให้แน่นกว่าเดิมเสียอีก
                ร่างเล็กดึงผมลงมาแช่ในอ่างน้ำด้วยกัน มือที่เริ่มอยู่ไม่สุขถอดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงลำลองของผมออก และพยายามลู่ปราการชิ้นสุดท้ายของผม
                “เป็นความทรงจำใหม่ของผมนะ”คนตัวเล็กโน้มตัวลงมากระซิบข้างใบหูของผม แววตาของเขาทำให้ผมตกใจไม่น้อย สีหน้าที่มีแต่ความเคียดแค้น โกรธเคือง ผมผละออกจากเขาและลุกขึ้นและหยิบผ้ามาพันกาย ก่อนจะส่งอีกผืนให้คนที่ยังทำหน้างงอย่างไม่เข้าใจ ผมรีบเดินออกมาจากห้องน้ำ พอดีกับที่คุณแม่ไดจังกลับมา ผมจึงขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้อง สักพักก็ได้ยินสียงคนตัวเล็กออกมาจากในห้องน้ำ หวังว่าคุณแม่จะไม่คิดสงสัยอะไรนะ



               
 _______________________________________________________________________________________________________
พยายามบังคับตัวเองให้เขียนต่อไปเรื่อยๆ แม้จะมีคนอ่านหรือไม่มีก็ตาม(ดราม่าทำไม 555)
สำนวนไม่สวย พิมพ์ผิดก็เยอะ ขออภัยถ้าอ่านแล้วเกิดขัดอารมณ์ไปบ้างนะคะ
ก่อนเปิดเทอมก็จะพยายามลงให้ได้อีกสักตอนสองตอนล่ะกัน(สัญญากับตัวเอง -..-)